The textures of Japandi: Natural woods and stones
- contact387885
- 2 วันที่ผ่านมา
- ยาว 2 นาที
ลวดลายสไตล์ Japandi: ลายไม้และหินธรรมชาติ

หลายๆคนคงรู้จักหนึ่งในสไตล์ที่กำลังมาแรงที่สุดตอนนี้อย่างสไตล์ Japandi ไปแล้ว แต่ทุกคนรู้ไหมคะว่าอะไรบ้างคือสิ่งที่สร้างความเป็น Japandi? หนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของสไตล์ Japandi นั้นคือลวดลายและลักษณะของวัสดุที่เลือกใช้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวัสดุจากธรรมชาติ โดยเฉพาะไม้และหินที่นับเป็นวัสดุสำคัญที่ถูกหยิบขึ้นมาถ่ายถอดผลงานในสไตล์ Japandi หลายต่อหลายครั้ง
วันนี้ทาง Moeh Doer จะพาทุกคนไปรู้จักโลกของลายไม้และหินธรรมชาติในสไตล์ Japandi รวมถึงการเลือกใช้ลวดลายธรรมชาติพวกนี้อย่างไรให้ได้ Mood and tone ของบ้านที่เราต้องการกันค่ะ
Wood Grain หรือ ลายไม้ คือลวดลายของเนื้อไม้ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โดย Grain แบบต่างๆมีลักษณะเฉพาะตัว และให้อารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป Grain ที่เป็นที่นิยมและสามารถหาได้ทั่วไปในสมัยนี้ แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ และ 5 ชนิดย่อยด้วยกันดังนี้

"OPEN VS CLOSED GRAINS"
1. OPEN GRAIN
Open grain คือลายไม้ที่มีตาไม้ค่อนข้างใหญ่และเห็นได้ชัด โดยที่ระยะห่างระหว่างชั้นของเนื้อไม้มีความห่างกันพอสมควร ลายไม้แบบ Open grain เกิดขึ้นจากต้นไม้ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงฤดูใบไม้ผลิ และช้าลงในฤดูร้อน ทำให้เกิดลายไม้ที่สามารถเห็นได้ชัดเจน ลาย Open Grain ส่วนใหญ่นั้นสามารถพบเห็นได้ในไม้โอ้คและต้นแอช เป็นลายไม้ที่ให้ความรู้สึกเป็นธรรมชาติ อบอุ่น แต่ยังดูมีความหยาบกร้าน (rustic) อยู่
2. CLOSED GRAIN
Closed grain คือลายไม้ที่มีตาไม้และระยะห่างระหว่างชั้นเนื้อไม้ค่อนข้างน้อย ทำให้เกิดลายที่ดูสะอาดและเป็นระเบียบมากกว่าลาย open grain ตัวลาย close grain เป็นที่นิยมในการออกแบบโปร์เจ็คที่ให้ความรู้สึกสะอาดสะอ้าน เรียบๆ ไม่หวือหวา ส่วนใหญ่สามารถหาได้ในไม้เมเปิ้ล ไม้เชอร์รี่ และเป็นที่นิยมอย่างมากในงานออกแบบที่มีกลิ่นอาย Scandinavian และ ญี่ปุ่น อย่างเช่น Japandi
"WOOD GRAIN PATTERNS"
1. FLAT GRAIN
Flat grain คือลายไม้ที่เกิดจากการตัดไม้โดยเริ่มจากกึ่งกลางของต้น และตัดไปในทางเดียวกับแนวดิ่งของตัวลำต้น ทำให้เกิดลายไม้ที่เรียงเป็นเส้นขนานกับตัวแผ่นไม้ ลายไม้แบบประเภทนี้ เป็นที่นิยมอย่างมากในการสร้างลุค Japandi ที่เน้นความหรูหรา Sleek และ elegent
2. CURLY GRAIN
Curly grain คือลายไม้ที่เกิดจากต้นไม้ที่เติบโตแบบมีลายเฉพาะตัวในลักษณะหยิกงอ สามารถพบได้ง่ายในไม้วอลนัท ลาย Curly grain มักถูกนิยมเอามาใช้ในงานที่ต้องการลูกเล่น สร้างความรู้สึกสนุกสนามมากขึ้น
3. STRAIGHT GRAIN
straight grain มีรูปร่างคล้ายคลึงกับ flat grain แต่แตกต่างกันที่วิธีการตัดไม้ วิธีการตัดไม้แบบ Straight grain นั้นทำให้เกิดความตรงของตัวลายชั้นไม้มากกว่า เกิดเป็นลายที่มีความเป็นระเบียบมากกว่า flat grain
4. INTERLOCKED GRAIN
Interlocked grain เป็นหนึ่งในลายไม้ที่พบเห็นไม่ได้บ่อยนัก แต่กลับไปที่นิยมมากสำหรับงาน Design ที่ต้องการความทึบและแน่น ลาย interlock grain นั้นเกิดจากการที่ชั้นไม้แต่ล่ะชั้นน้ันเติบโตไปคนล่ะด้าน เกิดเป็นเนื้อไม้ที่มีลายคล้ายคลึงไม้อัด และถูกใช้เพื่อการสร้างความรู้สึกที่หนักแน่นให้กับงานดีไซน์
5. IRREGULAR GRAIN
Irregular grain คือลายไม้ที่หมุนและขมวดเป็นปมอย่างไม่เป็นระเบียบ เต็มไปด้วยตาไม้และลายหยิกงอ แต่ในขณะเดียวกันลายไม้ประเภทนี้ กลับเป็นที่นิยมมากสำหรับการสร้างผลงานที่ดูมีชีวิตชีวา ให้ความรู้สึกสนุกสนานและ artsy เหมาะแก่การแทรกลูกเล่นให้กับสไตล์ Japandi ที่มีความเรียบง่ายเป็นพื้นฐาน
นอกจากลายของตัวไม้อย่าง wood grain แล้ว colour และ tone ของตัวเนื้อไม้เองก็สำคัญมากในงานดีไซน์ โดยที่ tone สีต่างๆของตัวไม้จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม

1. Cool tone
ไม้ที่มีสี cool tone หรือ สีในโทนเย็นให้ความรู้สึกที่ดูเรียบหรู ลึกลับ และมีความ musculine ซะเป็นส่วนใหญ่ ถึงแม้ว่าไม้ที่มีสีจัดอยู่ในกลุ่มนี้ จะไม่ถูกนำมาใช้ในงาน style Japandi บ่อยเท่ากับ Neutral และ warm tone แต่สีไม้ที่มี cool undertone สามารถสร้างงาน Japandi ที่มีความเฉพาะตัวในเรื่องของ mood and tone ออกมาได้ โดยสร้างสรรค์อารมณ์ที่ดูลึกลับและมีความเท่ สุขุม ให้กับงานออกแบบสไตล์ Japandi ปกติที่เน้นความรู้สึกอบอุ่นและเรียบง่าย
2. Neutral tone
ไม้ที่มีสี neutral tone หรือสีโทนกลาง คือไม้ที่นิยมนำมาใช้เยอะที่สุดในงานดีไซน์สไตล์ Japandi ให้ความรู้สึก เรียบง่าย สบายๆ เป็นเหมือนกับกระดาษเปล่าให้ผู้ออกแบบได้ไฮไลท์จุดเด่นอื่นๆของงานดีไซน์แทน เช่น หิน หรือ เซรามิค
3. Warm tone
ไม้ที่มีสี warm tone หรือ สีโทนอุ่น คือไม้ที่ถูกนิยมนำมาใช้เพื่อสร้างบรรรยากาศที่อบอุ่นเป็นพิเศษให้กับตัวงานสไตล์ Japandi โดยที่สามารถความคุมมันได้จากความสว่างและเข้มของสีไม้ที่ใช้ ไม้ที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ มักถูกใช้ในโปร์เจ็คที่เน้นความ homey ความอบอุ่นของงานดีไซน์
Stone finishes
นอกจากตัวไม้แล้ว ลายหินธรรมชาติเองก็หนึ่งในวัสดุยอดนิยมที่ถูกนำมาใช้งานในโปร์เจ็คสไตล์ Japandi โดยแท้จริงแล้ว texture พื้นผิว ของหินเองก็มีหลายแบบและให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป

1. Honed
Honed finish พื้นผิวแบบ Honed หรือการขัดผิวหินแบบด้าน เป็นหนึ่งใน finish ที่เป็นที่นิยมที่สุดของสไตล์ Japandi โดยที่เป็นที่นิยมอย่างมากับการจับคู่กับหินlimestone และ หินอ่อน หินที่มีพื้นผิวแบบ Honed นั้นให้ความรู้สึก หรูหรา และ ทันสมัย (elegent and contemporary) และยังคงความเป็นธรรมชาติของหินไว้ ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจกับโปร์เจ็ค Japandi ที่ต้องการความหรูหราแบบไม่เอิกเกริก
2. Sandblasted
Sandblasted หรือ พิ้นผิวแบบขัดทราย คือพื้นผิวที่ดูมีความเป็นเนื้อทรายและเรียบลื่นในขณะเดียวกัน เป็นหนึ่งในพื้นผิวที่นิยมมากสำหรับงานที่ต้องการความละเอียดอ่อน เบาบางแต่ยังคงดูเป็นธรรมชาติ และเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับพื้นผิวของบริเวณที่มีความชื้น เนืองจากตัวพื้นผิวนั้นกันการลื่นได้ดี
3. Brushed
Brushed หรือพื้นผิวที่ถูกขัดโดยทำให้เหมือนเป็นการทิ้งรอยฝีแปรงไว้นั้น เป็นพื้นผิวที่นิยมเป็นอย่างมากในการทำให้เกิดรูปลักษณ์ที่ดู classic เป็นตรงกลางระหว่างความเก่าแก่ ความหยาบกร้านและความเป็นเป็นธรรมชาติ Brushed finish ถูกนิยมใช้ในงานที่อยากได้อารมณ์ความรู้สึกที่มีความ Retro และ Rustic ในตัว
4. The split-face technique
หนึ่งในพื้นผิวของหินที่เห็นได้บ่อยในงานสถาปัตยกรรมทางยุโรป texture แบบsplit face ชูความเป็นธรรมชาติของรอยแตกบนพิ้นผิวหิน เป็น texture ที่โชว์ความ ดิบ และ classic อย่างแท้จริงของตัวงาน และเมื่อจับคู่กับการวางโทนสีที่เหมาะสม สามารถสร้างอารมณ์ที่หลากหลายให้กับตัวงานได้เป็นงานดี เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งใน finish ที่เป็นที่นิยมมากที่สุด
5. Bush-hammered
Bush-hammered finish เกิดจากการทุบหินด้วยค้อนที่เป็นตอเล็กๆ เกิดเป็นพื้นผิวที่ขรุขระไม่สม่ำเสมอ เป็นที่นิยมในการสร้างลุคของผลงานที่มีความ rustic และ raw ให้อารมณ์ที่มีความเป็น musculine มากกว่า finish แบบอื่นๆ และนิยมนำมาใช้กับงาน outdoor ต่างๆ
6. Polished
Polished หรือพื้นผิวแบบการขัดจนเงา เป็นหนึ่งในพิ้นผิวหินที่เห็นได้ทั่วไปในงานดีไซน์ต่างๆ รวมถึง Japandi ด้วย โดยที่พื้นผิวแบบ polished หรือขัดเงานั้นให้อารมณ์ความรู้สึกหรูหรามากกว่าพื้นผิวแบบอื่น และถูกนิยมนำมาใช้กับงานสไตล์ luxury เป็นที่นิยมอย่างมากในการใช้กับหินอ่อน
Comments